วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประเพณียี่เป็ง


ประเพณียี่เป็ง
                     การปล่อยโคมลอยในงานประเพณียี่เป็งประเพณียี่เป็ง คือ ประเพณีลอยกระทงแบบล้านนา โดยคำว่า ยี่ แปลว่า สอง ส่วน เป็ง แปลว่า เพ็ญ หรือ คืนพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งหมายถึงประเพณีในวันเพ็ญเดือนสองของชาวล้านนา ซึ่งตรงกับเดือนสิบสองของไทย

ประวัติโคมลอย

          คำว่า โคมลอยนี้แปลได้ง่ายๆ ว่าเครื่องใช้ที่ให้กำเนิดแสงสว่างลอยตัวอยู่ ซึ่ง โคมที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ อาจลอยอยู่ได้ทั้งในน้ำและในท้องฟ้าก็ได้ทั้งสองกรณี แต่ในที่นี้จะเริ่มกล่าวถึง โคมลอยที่ลอยอยู่ในน้ำหรือลอยไปตามสายน้ำเสียก่อน

          โคมลอยนับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในเทศกาลลอยกระทง เมื่อต้องการทราบความหมายของคำนี้ให้เป็นที่แน่นอนชัดเจนลงไป ก็ต้องไปดูจากต้นตำรับที่ว่าด้วยการลอยกระทง ซึ่งก็คือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือ นางนพมาศ และจากเอกสารชื่อนี้ฉบับที่กรมศิลปากร อนุญาตให้ศิลปาบรรณาคารพิมพ์จำหน่ายครั้งที่ ๑๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ หน้า ๙๖ บอกว่าในวันเพ็ญเดือนสิบสองนั้นจะมีพระราชพิธีจองเปรียง ซึ่งเป็น นักขัตฤกษ์ชักโคมลอยโคมที่มีการเฉลิมฉลองกันถึงสามวัน ครั้งหนึ่ง นางนพมาศได้ประดิษฐ์โคมลอยเป็น “…รูปดอกกระมุท(ดอกบัว) บานกลีบรับแสงพระจันทร์ ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ(กงเกวียน) …“ และประดับด้วยดอกไม้และผลไม้สลักเป็นรูปนกจับอยู่ตามกลีบดอกบัว ซึ่ง พระร่วงก็พอพระทัยมาก “… จึ่งมีพระราชบริหารบำหยัดสาปสรรว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงการกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระราชพิธีจองเปรียงแล้ว ก็ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุทอุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน อันว่าโคมลอยรูปดอกกระมุทบานก็ปรากฏมาจนทุกวันนี้ แต่คำโลกสมมุติเปลี่ยนชื่อเรียกว่าลอยกระทงทรงประทีป… “ (น.๙๙๑๐๐)

         จากความที่ยกมานี้สรุปได้ว่า โคมลอย ก็คือกระทงทรงประทีป หรือกระทงที่รองรับประทีปซึ่งจุดไฟแล้วปล่อยให้ลอยไปตามสายน้ำ เมื่อดูจาก พระราชพิธี ๑๒ เดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์โดยแพร่พิทยา ฉบับที่พิมพ์ครั้งที่สิบสาม พ.ศ. ๒๕๑๔ ในตอนที่กล่าวถึงพระราชพิธีจองเปรียงนั้น ทรงระบุว่าพระราชพิธีในเดือน ๑๒ ซึ่งมีมาในกฎมณเทียรบาลว่า พิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคมนั้น “… มีความแปลกออกไปนิดเดียวแต่ที่ว่าการพิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคม และเติม ลงน้ำเข้าอีกคำหนึ่ง การก็ตรงกันกับลอยกระทง ลางทีจะสมมติว่าลอยโคม …” (น.๘) และทรงกล่าวต่อไปว่า “.. การที่ยกโคมขึ้นนั้นตามคำโบราณกล่าวว่ายกขึ้นเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม การซึ่งว่าบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามนี้เป็นต้นตำราแท้ในเวลาถือไสยศาสตร์ แต่ครั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงนับถือพระพุทธศาสนาก็กล่าวว่าบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในดาวดึงสพิภพ และบูชาพระพุทธบาทซึ่งปรากฏอยู่ ณ หาดทรายเรียกว่า นะมะทานที เป็นที่ฝูงนาคทั้งปวงสักการบูชาอยู่..” (น.๙)

          ในพระราชพิธี๑๒ เดือนยังระบุต่อไปว่าในเดือนสิบสองนี้มีการลอยพระประทีปด้วย โดยทรงอธิบายว่า “… การลอยพระประทีปลอยกระทงนี้ เป็นนักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วไป ไม่เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธีอย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์อันใดเกี่ยวเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่าตรงกับคำที่ว่าลอยโคมลงน้ำเช่นที่กล่าวมาแล้ว แต่ควรนับได้ว่าเป็นราชประเพณีซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ..”(น.๒๒)

          และความในพระราชนิพนธ์ช่วงนี้ยังมีพระราชาธิบายที่ยืนยันถึงข้อความใน ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ว่า “…การลอยประทีปที่ว่าในกฎหมายนี้มีเนื้อความเข้ากับเรื่องนางนพมาศ ซึ่งว่าท้าวศรีจุฬาลักษณ์ซึ่งเป็นท้าวพระสนมเอกแต่ครั้งพระเจ้าอรุณราช คือพระร่วง ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินสยามตั้งแต่กรุงตั้งอยู่ ณ เมืองสุโขทัย ได้กล่าวไว้ว่า ในเวลาฤดูเดือนสิบสอง เป็นเวลาเสด็จประพาสในลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน พระอัครมเหสีและพระสนมฝ่ายในตามเสด็จในเรือพระที่นั่งทอดพระเนตรการนักขัตฤกษ์ซึ่งราษฎรเล่นในแม่น้ำตามกำหนดปี เมื่อนางนพมาศได้มารับราชการจึงได้คิดอ่านทำกระทงถวายพระเจ้าแผ่นดินเป็นรูปดอกบัวและรูปต่างๆ ให้ทรงลอยตามสายน้ำไหลมีข้อความที่พิศดารยืดยาว เนื้อความก็คล้ายคลึงกันกับจดหมายถ้อยคำขุนหลวงหาวัดซึ่งได้กล่าวว่าพระเจ้าแผ่นดินกรุงเก่าหรือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนั้นเอง…” (น๒๒๒๓)

          จากความในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์และพระราชพิธีสิบสองเดือนที่กล่าวมานี้ อาจสรุปได้ว่า โคมลอยของนางนพมาศนั้นคือกระทงที่รองรับประทีป การที่นำโคมลอยที่ว่านี้ไปลอยน้ำก็เรียกว่า ลอยโคมดังใน พระราชนิพนธ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงเรียกว่า ลอยพระประทีปและการลอยพระประทีปหรือลอยกระทงนี้อย่างน้อยก็มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว แต่ที่น่าสังเกตก็คือพระราชาธิบายที่ว่า การลอยกระทงนี้ “… แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธีอย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์อันใดเกี่ยวเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่าตรงกับคำที่ว่าลอยโคมลงน้ำเช่นที่กล่าวมาแล้ว…”

          และเมื่อพิเคราะห์ดูความจากบทพระราชนิพนธ์ในตอนที่กล่าวถึงเทียนที่จุดในพระราชพิธีจองเปรียงนั้น ทรงกล่าวว่า “…แต่ถึงว่าโคมชัยที่อ้างว่าบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธบาทดังนี้แล้ว ก็ยังเป็นพิธีของพราหมณ์พวกเดียว คือตั้งแต่เริ่มพระราชพิธี พราหมณ์ก็เข้าพิธีที่โรงพิธีในพระบรมมหาราชวัง และเวลาเช้าถวายน้ำพระมหาสังข์ตลอดจนวันลดโคม เทียนซึ่งจุดในโคมนั้นก็ทาเปรียง คือไขข้อพระโคซึ่งพราหมณ์นำมาถวายทรงทา การที่บูชากันด้วยน้ำมันไขข้อพระโคนี้ก็เป็นลัทธิพราหมณ์แท้ เป็นธรรมเนียมสืบมาจนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า การพระราชพิธีทั้งปวงควรจะให้เนื่องด้วยพระพุทธศาสนาทุกๆ พระราชพิธี …” (น.๙)

          ส่วนขนาดของกระทงนั้น นอกเหนือจากกระทงของนางนพมาศที่ใหญ่เท่ากงระแทะคือกงเกวียนแล้ว ในพระราชพิธี ๑๒ เดือนให้คำอธิบายสรุปรวมได้ว่ากระทงหลวงซึ่งสำหรับทรงลอยที่มีมาแต่เดิมนั้น คือเรือรูปสัตว์ต่างๆ ในสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทงหลวงสำรับใหญ่ที่ทำถวายนั้น “…ต่อเป็นถังบ้าง ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้างแปดศอกบ้าง เก้าศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอดสิบศอกสิบเอ็ดศอก ทำประกวดประขันกันต่างๆ …(น.๒๙) ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ขนาดใหญ่ที่ลอยน้ำได้ และในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้นมีการใช้เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชและเรือชัยแทนกระทงใหญ่สองลำ ตั้งเทียนขนาดใหญ่และยาวตามกระทงเรือทุกกระทง ส่วนในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็มีการใช้เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์แทนเรือชัย และยังมีกระทงขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างอลังการอีกด้วย แต่ก็ไม่โปรดให้จัดทำทุกปี
            

          ส่วนการลอยพระประทีปนั้นเห็นได้ว่ามีถึงปีละ ๒ ครั้ง โดยมีพระราชนิพนธ์ไว้ว่า “… จะขอว่าแต่กรุงเทพฯนี้ การลอยประทีปเดือน ๑๒ เป็นการใหญ่กว่าลอยประทีปในเดือน ๑๑ ด้วยอากาศปราศจากฝน…”(น.๒๔) และ “… พิธีลอยพระประทีปกลางเดือน ๑๑ ก็เหมือนกับลอยพระประทีปในเดือน ๑๒ ซึ่งมีข้อความพิศดารแจ้งอยู่ในพระราชนิพนธ์พิธีประจำเดือน ๑๒ ผิดกันแต่เดือน ๑๑ ไม่มีกระทงใหญ่…” (น.๖๓๙) น่าสังเกตว่าในพระราชพิธี ๑๒ เดือน นี้ ทรงจำแนกว่า ประทีปและกระทงเป็นสิ่งประดิษฐ์สำหรับทรงลอยที่ต่างกัน โดยที่กระทงที่ทรงกล่าวถึงนั้นมีขนาดใหญ่มาก แต่เสียดายที่ในพระราชนิพนธ์ดังกล่าวไม่ได้บอกขนาดของพระประทีปที่ทรงลอยไว้ด้วย คาดว่า พระประทีปที่ทรงลอยน่าจะมิได้มีขนาดใหญ่โตเหมือนกระทง แต่อาจจะมีขนาดใกล้เคียงกับกระทงของนางนพมาศก็ได้

          เมื่อยกเอาความทุกส่วนที่กล่าวแล้วมารวมกันเพื่อสรุป ก็จะเห็นได้ว่า การลอยโคมหรือ ลอยกระทงซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วนี้ เป็นประเพณีที่มิใช่ทั้งพิธีพราหมณ์หรือพิธีในพุทธศาสนา แต่การลอยกระทงซึ่งเป็นการลอยโคมอันเป็นเครื่องสักการะเพื่อให้ไปบูชารอยพระพุทธบาทซึ่งปรากฏอยู่ที่ริมฝั่งน้ำนมทานทีดังกล่าว เป็นคติที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้เอง แต่ความที่ยังคงค้างใจก็คือประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สรุปว่า โคมลอยหมายถึงประทีปที่จุดไฟแล้ววางบนกระทงและปล่อยให้ลอยไปตามสายน้ำ แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีโคมลอยที่มีลักษณะเป็นลูกโป่งขนาดใหญ่ทำด้วยกระดาษบางเบาที่ปล่อยให้ลอยไปบนฟากฟ้านั้น คืออะไรกันแน่

          คำอธิบายที่เก่าที่สุดที่กล่าวถึง โคมลอยในแง่โคมที่ลอยฟ้านั้น พบใน หนังสืออักขราภิธานศรับท์ Dictionary of the Siamese Language by Dr.B.Bradley Bangkok 1873 หรือพจนานุกรมภาษาสยามที่ ดร.แดน บีช แบรดเลย์ จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ โดยกล่าวว่า โคม, คือประทีปเครื่องสำหรับจุดไฟในนั้นให้แสงสว่าง,ทำด้วยแก้วบ้าง, ทำด้วยเกล็ดปลาบ้าง.และ โคมลอย, คือประทีปเครื่องสำหรับจุดไฟในนั้นให้สว่าง, แล้วควันไฟก็กลุ้มอบอยู่ในนั้น, ภาโคมให้ลอยขึ้นไปได้,บนอากาษ.”(น.๑๐๕) คำอธิบายดังกล่าวนี้สอดคล้องกับพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ที่ว่า โคมลอย น. ชื่อเครื่องตามไฟชนิดหนึ่งที่จุดไฟแล้วปล่อยให้ลอยไปในอากาศ.และพจนานุกรมฉบับนี้ได้ให้ความหมายของเครื่องใช้อีกอย่างหนึ่งว่า ตะเกียง น. เครื่องใช้สำหรับตามไฟ มีรูปต่างๆ บางชนิดมีหลอดบังลม, ลักษณะนามว่า ดวงโดยคำอธิบายของพจนานุกรมทั้งสองฉบับนี้ ชวนให้เข้าใจว่า โคมลอยควรจะให้ความสว่างได้ด้วย

          ส่วนใน พระราชพิธี ๑๒ เดือน ที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อปีชวด พ.ศ.๒๔๓๑ นั้น มีข้อความส่วนที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์อธิบายศัพท์แผลงว่า โคมลอยมีความหมายเดียวกับ โพยมยานและโพยมยานแปลมาจาก air ship คือยานที่ลอยไปในอากาศได้โดยใช้อากาศร้อนหรือแก๊สที่เบากว่าอากาศยกเอายานนั้นลอยไปได้ แต่เมื่อเทียบกับคำแปลของหมอแบรดเลย์แล้ว โพยมยานในที่นี้น่าจะหมายถึง balloon มากกว่า ยิ่งในคำอธิบายในหน้า ๖๔๓ ที่ว่า โคมลอยในที่นี้ “…มาแต่หนังสือพิมพ์ตลกของอังกฤษที่ชื่อว่า ฟัน (Fun-ผู้เขียน) ที่ใช้รูปโคมลอยอยู่หลังใบปก หนังสือพิมพ์นั้นเล่นตลกเหลวไหลไม่ขบขันเหมือนหนังสือพิมพ์ตลกอย่างอื่น คือ ปันช เป็นต้น จึงเกิดคำติกัน เมื่อใครเห็นเล่นตลกไม่ขบขัน จึงว่าราวกับหนังสือพิมพ์ฟัน บ้างว่าเป็นโคมลอย (เครื่องหมายของหนังสือนั้น) บ้างจะพูดให้สั้นจึงคงไว้แต่ โคม”…” จากประเด็นดังกล่าวนี้ โคมลอยตามนัยของพระราชพิธี ๑๒ เดือน กับนัยของหนังสืออักขราภิธานศรัพท์แม้จะดูเหมือนว่าไม่ตรงกัน แต่ก็พอจะอธิบายให้เห็นได้ว่าเป็นวัตถุทรงกลมที่อาศัยความร้อนที่กักไว้ภายในพยุงให้ลอยไปในอากาศได้

          ก็เป็นอันว่า โคมลอยของ นางนพมาศ นั้นลอยน้ำ แต่ โคมลอยของ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ และของหมอแบรดเลย์ นั้น ลอยฟ้า พอบอกว่า โคมลอยนั้นลอยฟ้าได้ ชาวล้านนาก็บอกว่า แม่นแล้วเพราะในวันเพ็ญเดือนสิบสองนั้นนอกเหนือจะมีการตั้งธัมม์หลวงแล้ว บุคคลที่เกิดในปีจอ ซึ่งควรจะไปนมัสการพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีซึ่งบรรจุมวยผมของเจ้าชายสิทธัตถะที่เชือดออกด้วยพระขรรค์แล้วดำรงเพศนักบวชก่อนจะบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า แม้อยากไปก็ไปไม่ได้เพราะพระเจดีย์ดังกล่าวอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

          ชาวล้านนาที่เกิดในปีจอก็อาศัย โคมลอยนี้แหละที่ยกเอากระบะเครื่องบูชาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าไปให้สูงที่สุดเพื่อจะบูชาพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ กิจกรรมดังกล่าวนี้สอดคล้องกับพระบรมราชาธิบายที่ว่า “…การยกโคมขึ้นนั้น ตามคำโบราณกล่าวว่ายกขึ้นเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม การซึ่งว่าบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามนี้เป็นต้นตำราแท้ในเวลาถือไสยศาสตร์ แต่ครั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงนับถือพระพุทธศาสนา ก็กล่าวว่าทรงบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณีในดาวดึงสพิภพและบูชาพระพุทธบาทซึ่งปรากฏอยู่ ณ หาดทรายที่เรียกว่านะมะทานที เป็นที่ฝูงนาคทั้งปวงสักการบูชาอยู่…”(พระราชพิธี ๑๒ เดือน น.๙)

          แต่พอพูดว่าสิ่งประดิษฐ์ที่พาเอากระบะเครื่องบูชาขึ้นฟ้าไปนั้นชื่อว่า โคมลอยบรรดาผู้เฒ่าทั้งหลายก็ไม่ค่อยพอใจนัก เพราะสิ่งนั้นในยุคของท่านเรียกว่า ว่าว, ว่าวลม, ว่าวรม/ฮม หรือว่าวฅวัน โดยอธิบายว่าเครื่องเล่นที่ปล่อยให้ลอยในอากาศนั้นเรียกว่า ว่าวเมื่อว่าวนั้นใช้ควันเป็นเครื่องช่วยพยุงขึ้นฟ้า ก็เรียกว่าวนั้นว่า ว่าวฅวัน และในกลางคืนที่ใช้ก้อนเชื้อเพลิงแขวนไว้ที่ปากของว่าว ความร้อนจากไฟที่จุดนั้น นอกจากจะยกว่าวให้ลอยฟ้าได้แล้ว ยังมองเห็นไฟที่ลุกและลอยไปในท้องฟ้าแทรกกับกลุ่มดาวได้ ท่านเรียกของท่านว่า ว่าวไฟ พอเห็นเด็กน้อยหนุ่มสาวเรียกสิ่งประดิษฐ์ของท่านว่า โคมลอยท่านก็บอกว่าไม่ใช่ ครั้นถามผู้เฒ่าว่าชาวล้านนาเรียกว่าวของท่านว่าเป็นโคมลอยมาแต่เมื่อใด ท่านก็ตอบว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อทหารไทยมาประจำการในล้านนา พอเห็นว่าวฅวันลอยขึ้นฟ้า ก็เรียกว่าสิ่งนั้นคือ โคมลอยเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจสรุปได้ว่า โคมลอยของภาคกลางนั้นทำได้ทั้งลอยฟ้าและลอยน้ำ โดยจุดประทีปโคมไฟให้ลอยไปตามน้ำเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทในนาคพิภพ และยกโคมขึ้นให้สูงเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี
  

          แล้วชาวล้านนาเล่า มีการจุดประทีปโคมไฟลอยน้ำเพื่อไปบูชาพระพุทธบาทหรือไม่ ผู้เฒ่าก็จะถามว่าลอยประทีปโคมไฟเมื่อใด พอบอกว่าวันเพ็ญเดือนยี่ ท่านก็บอกว่าในวันเพ็ญเดือนยี่นั้นชาวบ้านจะปล่อยว่าวฅวันขึ้นฟ้าในตอนสาย และจุดประทีปโคมไฟตามบ้านเรือนดังที่ปรากฏว่ามีคัมภีร์ชื่ออานิสงส์ผางประทีปบอกถึงผลที่ผู้กระทำจะได้รับจากกการจุดประทีปโคมไฟดังกล่าว และการจุดประทีปโคมไฟนี้ก็สอดคล้องกับการ เผาเทียนเล่นไฟในกรุงสุโขทัยอีกด้วย ไม่มีธรรมเนียมการลอยกระทงหรือการจุดประทีปโคมไฟลอยน้ำ และผู้เฒ่าจะสำทับว่าพิธีกรรมทั้งหลายของชาวล้านนานั้นจะหันหน้าเข้าวัด ถ้าหันหน้าออกจากวัดไปทำกิจกรรมยังที่อื่นแล้ว พิธีกรรมดังกล่าวนั้นไม่ใปรากฏในวิถีของล้านนา

          ครั้นถามว่าแล้ว ลอยกระทงเริ่มมาแต่เมื่อใด ท่านผู้เฒ่าที่คุ้นเคยกับชีวิตในฅุ้มในวัง โดยเฉพาะ วังท่าเจดีย์กิ่วซึ่งเป็นที่ประทับของพระราชชายาเจ้าดารารัศมีนั้น เป็นวังที่อยู่ใกล้กับลำน้ำปิง(ปัจจุบันคือสถานกงสุลอเมริกัน) พระราชชายาพระองค์นี้เป็นพระราชชายาซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่าพระมเหสีในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ โดยที่พระองค์ท่านเข้ารับราชการในพระบรมมหาราชวังเมื่อชนมายุ ๑๓ ชันษา (พ.ศ.๒๔๒๙)และประทับอยู่ในวังหลวง หลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ สวรรคตเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๓ แล้วพระราชชายาฯก็เสด็จมาประทับอยู่ใน ฅุ้มหรือวังท่าเจดีย์กิ่วดังกล่าวเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ พระราชชายาฯ ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ขนบธรรมเนียมโดยเฉพาะพระราชพิธีต่างๆ เป็นอย่างดี ดังนั้นพระองค์ท่านจึงได้เริ่มการ ลอยพระประทีปในลำน้ำปิง ในช่วงประมาณ พ.ศ.๒๔๖๐๒๔๗๐ แต่พระประทีปนอกวังหลวงนี้ทำขึ้นอย่างง่ายๆ จากวัสดุในธรรมชาติ

          คือพระองค์ท่านใช้ชิ้นกาบมะพร้าวกว้างขนาดฝ่ามือตัดโค้งงอนตามสัณฐานของมะพร้าวเพื่อทำหน้าที่เป็น กระทงวางประทีปลงบนกระทงนั้นแล้วจุดไฟและปล่อยให้ลอยไปในคืนวันเพ็ญเดือนยี่ของชาวล้านนา (ตรงกับเพ็ญเดือน ๑๒ ของภาคกลาง) สิ่งที่ลอยไปตามสายน้ำนั้นจึงจัดได้ว่าเป็นการ ลอยพระประทีปอย่างง่ายๆ อันจำลองมาจากการลอยพระประทีปและกิจกรรมนี้ก็สอดคล้องกับ ลอยโคมหรือ ลอยกระทงทรงประทีปของนางนพมาศอีกด้วย

          ภายหลังก็มีผู้นิยมลอยกระทงตามพระราชชายาฯ มากขึ้น ดังพบว่าในครั้งที่นายทิม โชตนา เป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ในช่วง พ.ศ.๒๔๙๐ นั้น ก็ได้สนับสนุนการท่องเที่ยวโดยจัดให้มีการลอยกระทงมากขึ้น และมีการเฉลิมฉลองบริเวณถนนท่าแพ โดยเฉพาะบริเวณหน้าพุทธสถาน การลอยกระทงแบบกรุงเทพฯนั้นมีขึ้นอย่างจริงจังเมื่อมีการตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๒ โดยเริ่มจัดให้มีการลอยกระทงสองวัน คือในวันเพ็ญเดือนยี่ จะลอยกระทงเล็ก และรุ่งขึ้นในคืนแรมหนึ่งค่ำจะมีการลอยกระทงหรือประกวดกระทงขนาดใหญ่ โดยเริ่มที่หน้าเทศบาลเมืองเชียงใหม่ไปสิ้นสุดที่สะพานนวรัฐ และหลังจากนั้นก็มีการลอยกระทงกันอย่างกว้างขวาง ดังที่จะพบว่ามีการประกวดนางนพมาศกันทั่วไป ในขณะเดียวกันก็ยังมีการทำ ประตูป่าอันเนื่องกับการ ตั้งธัมม์หลวงอยู่เหมือนกัน แต่ยิ่งมีแสงสีที่กระทงกับประตูป่าและประทีปโคมไฟที่ประดับตามบ้านเรือนถนนหนทาง มีความงามที่ทรงเสน่ห์ของสาวน้อยนางนพมาศมากขึ้น และมีแสงสีจากว่าวไฟที่ลอยฟ้าเจิดจรัสมากขึ้นเท่าใด ความเข้มของวัฒนธรรมใหม่นี้ย่อมมีส่วนขับให้บรรยากาศของการตั้งธัมม์หลวงและกิจกรรมตามวิถีของล้านนาดั้งเดิมให้โรยแรงลงเพียงนั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://kidsquare.com
www.guidescenter.com
http://www.khomyeepeng.com
www.paiduaykan.com/76_province/north/
http://www.lannacorner.net/weblanna/article/article.php?ID=259&type=C

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น